วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2558

การสร้างความมั่งคั่งด้วยการพัฒนาประสิทธิภาพการเทรด

มีคนมากมายเข้ามาหาประโยชน์ในตลาดหุ้น บ้างก็สำเร็จร่ำรวย บ้างก็ขาดทุนหนีออกไป คนที่ประสบความสำเร็จก็มีทั้งที่เป็นนักลงทุน และนักเก็งกำไร คนทั้ง 2 กลุ่มนี้ก็มีเงื่อนไขที่ทำให้ประสบความสำเร็จต่างกันไป

นักลงทุนอาจต้องมีเงื่อนไขว่ามีเงินลงทุนมากพอที่ผลตอบแทนจากเงินปันผลให้ความพึงพอใจได้ หรือมีรายได้ทางอื่นมากพอใช้จ่ายแล้วเหลือเก็บมาลงทุน ไม่กระทบกับการใช้ชีวิต คนกลุ่มนี้ถูกมองว่ามีความอดทน ราคาลงไปกว่า 50 % ก็ยังอยู่กับหุ้นนั้น ๆ ได้

แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่เห็นเคยมีคนบอกว่าอารมณ์ตอนนั้นเป็นยังไง อดทนได้หรือไม่รู้จะทำยังไง หรือเป็นไปตามแผนที่เค้าวางไว้อยู่แล้ว มูลค่าของหุ้นนั้นยังต้องเพิ่มขึ้นต่อไปตามการวิเคราะห์แน่ ๆ หรือเป็นแค่ผลตอบแทนที่เพียงพอจากปันผลอยู่แล้ว ไม่กระทบกับการใช้ชีวิตปกติ เลยทนได้ก็เป็นได้

สำหรับนักเก็งกำไรก็มีเงื่อนไขต่างไปเช่นกัน อาจเพราะมีเงินน้อยกว่ากลุ่มแรก ผลตอบแทนจากปันผลมันเลี้ยงปากท้องไม่ได้ มีความอดทนที่จะมุ่งสู่ความสำเร็จ อดทนที่จะเรียนรู้และปรับปรุงวิธีการ มีวินัยในการทำตามแผนการได้ดี ยอมรับความผิดพลาดที่เกิดจากจุดอ่อนของระบบเทรดได้

ทำไมนักเก็งกำไรมีมากกว่า และไม่ประสบความสำเร็จมากเท่านักลงทุุน อาจเป็นเพราะปันผลเลี้ยงตัวเองไม่ได้ ราคาตกมาก ๆ เลยรับไม่ได้ ความไม่มีวินัย ไม่มีแผนการเทรด ต้องซื้อขายบ่อย ๆ กำไรถึงจะมากพอ โลภ หรืออะไรก็แล้วแต่

การเก็งกำไรถึงได้ถูกมองว่ายากกว่าการลงทุน แต่คนที่ไม่เหมาะกับการเป็นนักลงทุนก็หลงเข้าไปทำเหมือนนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ แต่แล้วก็ทนไม่ได้เมื่อราคาลดลงไป 50% เจ็บตัวออกตลาดไปกัน แล้วคนเหล่านี้ก็โทษว่าตลาดมันแย่ 

จริง ๆ แล้วลองทำความเข้าใจผู้ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนหรือนักเก็งกำไร สิ่งที่พวกเค้าเข้าใจ และลงมือทำมันสอดคล้องกับการประเมิน 3 เรื่อง

1 ความเสี่ยง เพราะการลงทุนให้ผลตอบแทนมากพออยู่แล้ว และถือหุ้นที่มีอนาคตจริง ๆ ความเสี่ยงในการถือในความรู้สึกของนักลงทุนผู้ประสบความสำเร็จจึงบอกว่าความเสี่ยงต่ำ ต่างกับอีกคนที่ถือตัวเดียวกันแต่ผลตอบแทนจากปันผลไม่พอกิน ทำให้กระทบกับการใช้ชีวิตก็บอกว่าเสี่ยงสูงได้ 

หรือการเก็งกำไรของผู้ประสบความสำเร็จก็จะบอกเรื่องความเสี่ยงเป็นเรื่องแรกที่ต้องใส่ใจ ถ้าประเมินแล้วผลตอบแทนมากกว่าความเสี่ยงแบบคุ้มค่า พวกเค้าจะลงมือทำตามวิธีการแบบมีวินัยสุด ๆ นั่นเพราะเค้าทดสอบมาแล้ว และมั่นใจว่าคุ้มค่า การประเมินความเสี่ยงจึงออกมาต่ำก็ได้ แต่ก็มีบางคนที่ไม่ได้ใส่ใจกับระบบเทรด เมื่อลอง 2 - 3 ครั้งแรกเจอขาดทุนก็หนีหายหมด ไม่มีวินัย อยากได้คืน

คนประสบความสำเร็จทั้งการลงทุน และเก็งกำไรจริง ๆ แล้วเค้าเข้าใจเรื่องความเสี่ยงของตัวเองเค้าจึงมีวินัย ลงทุนได้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ และประสบความสำเร็จนั่นเอง

2 เวลา เพราะเวลาเป็นสิ่งที่มีจำกัดสิ่งเดียวในโลก 

นักลงทุนเค้ารู้ว่าการลงทุนจะเติบโตมาก ๆ ต้องใช้เวลา เมื่อผลตอบแทนที่มากพออยู่แล้วในการลงทุน นักลงทุนจึงใช้เวลาถือหุ้นจนไปถึงเป้าหมายของตัวเองได้ เช่น ถือจนมูลค่าของกิจการน่าจะไม่เติบโตแล้วได้ อาจเป็นหลายสิบปี คนที่ไม่เข้าใจว่าต้องใช้เวลา คิดว่าหุ้นดีต้องขึ้นเลยจึงผิดพลาดเสมอ

ส่วนนักเก็งกำไรก็เข้าใจว่าเวลาเป็นต้นทุนอย่างหนึ่ง จึงต้องยอมตัดขาดทุน เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเวลาในการถือหุ้นในช่วงขาลง ไปหาหุ้นตัวอื่นที่ให้ผลตอบแทนที่ดีถือดีกว่า คนที่ทำตามวินัยไม่ได้ติดหุ้นนาน ๆ ก็เสียโอกาสในการทำกำไรตัวอื่นไป ทนถือจนหุ้นขึ้นมาใหม่ได้ก็ดีไป แต่ส่วนใหญ่ทนไม่ได้ขายขาดทุน 50% ทั้งนั้น เพราะการกลับมาจากขาลงใช้เวลาเท่าไร่ใครจะรู้ล่ะ

3 กำไร เพราะใครก็อยากได้กำไร ยิ่งเยอะยิ่งดี ทำให้สภาวะจิตใจ และการตัดสินใจผิดเพี้ยน เป็นได้ทั้งกำไรมาก และมีทั้งกำไรติดลบ คนเห็นกำไรมากแล้วก็อยากให้มากอีก คนเห็นกำไรติดลบก็กลัวหมดตัว

นักลงทุนเค้าเข้าใจว่ากำไรของเค้าจะมาในรูปแบบเงินปันผล และในระยะยาว ๆ แล้วส่วนต่างราคาถึงตามมาจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าของหุ้นนั้น ๆ และพอใจกับผลกำไรที่ได้อยู่ในขณะนั้น ๆ อยู่อย่างสบาย ๆ ไปเรื่อย ๆ ไม่โลภ ไม่กลัว แต่ได้กำไรมากกว่านี้ก็ยิ่งดีถือเป็นโบนัส

นักเก็งกำไรก็มีแผนการเทรดของตัวเอง พอใจในระดับกำไรที่ทำได้ เพราะเข้าใจในความเสี่ยง และระบบเทรดของตัวเองว่าทำผลตอบแทนได้เท่าไร่ สม่ำเสมอมั้ย พวกเค้าเลยทำตามวินัย และแผนการได้ตลอด สิ่งที่ทำให้นักเก็งกำไรมีความมั่งคั่งจริง ๆ คือหลักการกำไรทบต้น (จะอธิบายในตอนต่อ ๆ ไป)

ตอนนี้เอาแค่นี้ก่อน ยาวแล้วยังไม่ได้ถึงขั้นตอนการพัฒนาประสิทธิภาพการเทรดเลย ตอนต่อ ๆ ไปนะ

ขอให้ผู้เรียนรู้ พยายาม สำเร็จอย่างที่หวัง
Mee?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น